ประวัติพระเทพโมลี (กลิ่น) | ||||
ประวัติพระเทพโมลี (กลิ่น)
| ||||
| ||||
| ||||
ประวัติพระปิฏกโกศลเถร (แก้ว) | ||||
ประวัติพระปิฏกโกศลเถร (แก้ว) | ||||
| ||||
| ||||
ประวัติพระญาณสังวร (ด้วง) | ||||
ประวัติพระญาณสังวร (ด้วง) สำเนา แต่งตั้งให้พระญาณสังวรเถรเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่ พระญาณสังวร สุนทรสังฆเถรา สัตตวิสุทธิ์ จริยาปรินายก สปิฏกธรา มหาอุดมศิลอนันต์ อรัญวาสี สถิตในวัดราชสิทธาวาส พระอารามหลวงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ๑ พระพรหมมุนี ๑ พระธรรมเจดีย์ ๑ พระธรรมไตรโลก ๑ พระธรรมราชา ๑ ราชาคณะ พระญาณสังวร (บุญ) นั่งหน้าสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ต่อมาถึงรัช
| ||||
| ||||
| ||||
ประวัติพระญาณโกศลเถร(รุ่ง) | ||||
ประวัติพระญาณโกศลเถร(รุ่ง) | ||||
| ||||
| ||||
ประวัติพระญาณสังวร | ||||
ประวัติพระญาณสังวร | ||||
| ||||
| ||||
ประวัติพระโยคาภิรัตเถร | ||||
ประวัติพระโยคาภิรัตเถร เมื่อท่านลาออกจากเจ้าอาวาสแล้ว ท่านได้เปรยว่า ถ้าวัดพลับไม่มีกรรมฐาน จะไม่สงบ ท่านได้กล่าวไว้เป็นคำกลอนว่า วัดเอ๋ยวัดพลับ จะย่อยยับเหมือนสับขิง ฝูงสงฆ์จะลงเป็นฝูงลิง ฝูงเณร และเด็ก จะวิ่งเป็นสิงคลี ปีพระพุทธศักราช ๒๔๐๔ มรณะภาพลงด้วยโรคชรา เมื่อสิริรวมอายุได้ ๘๗ ปี | ||||
| ||||
| ||||
ประวัติพระอมรเมธาจารย์ | ||||
ประวัติพระอมรเมธาจารย์ | ||||
| ||||
| ||||
ประวัติพระสังวรานุวงศ์เถร | ||||
ประวัติพระสังวรานุวงศ์เถร | ||||
| ||||
| ||||
ประวัติพระสุธรรมธีรคุณ | ||||
ประวัติพระสุธรรมธีรคุณ | ||||
| ||||
| ||||
ประวัติพระอมรเมธาจารย์ | ||||
ประวัติพระอมรเมธาจารย์ | ||||
| ||||
| ||||
พระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) | ||||
พระสังวรานุวงศ์เถร มีนามเดิมว่า ชุ่ม เป็นบุตรนายอ่อน โพอ่อน นางขลิบ โพ อ่อน เกิดที่ตำบลเกาะท่าพระ อำเภอบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี เมื่อวันพุธ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีฉลู เบญจศก จ.ศ. ๑๒๑๕ ตรงกับวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๙๖ ในต้นรัชกาลที่ ๔ ได้เล่าเรียนภาษาไทย ภาษาบาลี ในสำนักพระอาจารย์ทอง วัดราชสิทธาราม ตั้งแต่ ๑๐ ขวบ ปีพระพุทธศักราช ๒๔๐๙ ในรัชกาลที่ ๔ อายุ ๑๓ ปี บรรพชาเป็นสามเณร ในสำนัก พระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) ได้ศึกษาอยู่ตลอดมา ทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุระ ปีพระพุทธศักราช ๒๔๑๗ ในรัชกาลที่ ๕ เมื่ออายุได้ ๒๑ ปี อุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดราชสิทธาราม พระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระปลัดโต เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระสมุห์กลั่น เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อุปสมบทแล้วศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับพระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) และศึกษาพระกรรมฐานต่อกับ พระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ครั้งยังเป็นพระครู สังวรสมาธิวัตร แล้วได้ออกสัญจรจาริกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ เป็นประจำทุกปี ต่อมาได้รับสืบทอดไม้เท้า ไผ่ยอดตาล จากพระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) องค์พระอุปัชฌาย์ ปีพระพุทธศักราช ๒๔๒๑ เป็นเจ้าคณะหมวด เมื่อพรรษาได้ ๔ พรรษา ปีพระพุทธศักราช ๒๔๒๔ เป็นพระใบฏีกา ว่าที่ถานานุกรมชั้นที่ ๓ ของ พระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) ปีพระพุทธศักราช ๒๔๒๗ พรรษา ๑๐ เป็นพระสมุห์ ว่าที่ถานานุกรมชั้นที่ ๒ ของพระอมรเมธาจารย์ (เกษ) ในพรรษานั้นท่านได้รับแต่งตั้งจาก พระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) ให้เป็น พระอาจารย์บอกพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับด้วย ปีพระพุทธศักราช ๒๔๒๙ พรรษาที่ ๑๒ ได้เป็นพระปลัด ว่าที่ถานานุกรมชั้นที่ ๑ ของพระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ปีพระพุทธศักราช ๒๔๕๑ ได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์เป็น พระครูชั้นพิเศษ ตำแหน่งรองเจ้าอาวาสที่ พระครูสังวรสมาธิวัตร ได้รับพระราชทานนิตยภัตเดือนละ ๗ บาท และในปีเดียวกันนี้ พระครูสังวรสมาธิวัตร(ชุ่ม) ได้รับแต่งตั้งเป็น พระคณาจารย์ เอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ปีพระพุทธศักราช ๒๔๕๗ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณะศักดิ์เป็นพระราชา คณะสามัญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระสังวรานุวงศ์เถร รับพระราชทานพัดงาสาน เป็นองค์สุดท้ายของวัดราชสิทธาราม ได้รับพระราชทานนิตยภัตเดือนละ ๑๒ บาท ปีพระพุทธศักราช ๒๔๕๘ พระสุธรรมสังวร (ม่วง) ลาออกจากเจ้าอาวาสวัดราช สิทธาราม กลับไปวัดเดิม พระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) จึงได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัด ราชสิทธาราม เป็นองค์ต่อมา และเป็นเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี มณฑลธนบุรี นับเป็นองค์ สุดท้าย ที่เจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม ได้เป็นเจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี ประจำมณฑลธนบุรี และได้รับพระราชทานพัดงาสาน เป็นองค์สุดท้าย ของวัดราชสิทธาราม ผู้คนทั้งหลาย ในสมัยนั้น เรียกขานนามท่านว่า ท่านเจ้าคุณสังวราฯ บ้าง หลวงปู่ชุ่มบ้าง ปีพระพุทธศักราช ๒๔๕๙ ได้รับพระราชทานนิตยภัตเพื่มขึ้นอีก เดือนละ ๒ บาท รวมเป็น ๒๔ บาท เทียบพระราชาคณะชั้นราช ปีพระพุทธศักราช ๒๔๖๐ พระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) ครองวัดราชสิทธารามแล้ว พระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ในสมัยท่านเจริญรุ่งเรื่องมาก มีพระเถรพระมหาเถร มาศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับกันมากมาย มีปรากฏชื่อเสียงหลายท่านคือ พระภิกษุพริ้ง (พระครูประสาธสิกขกิจ ) วัดบางประกอก พระภิกษุสด(พระมงคลเทพ มุนี) วัดปากน้ำ พระภิกษุโต๊ะ (พระราชวังวราภิมนต์) วัดประดู่ฉิมพลี พระภิกษุกล้าย (พระครูพรหมญาณวินิจ) วัดหงส์รัตนาราม พระภิกษุขัน (พระครูกสิณสังวร) วัดสระเกศ พระภิกษุเพิ่ม (พระพุทธวิถีนายก) วัดกลางบางแก้ว หลวงพ่อปานวัดบางนมโค มาศึกษากับพระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม)ไม่ทัน ท่านจึงไปศึกษากับ หลวงพ่อพริ้ง วัดบางประกอกฯ แทน ในกาลต่อมา การศึกษาสมัยท่านครองวัด ท่านเป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระเอง พระ ครูสังวรสมาธิวัตร(แป๊ะ) เป็นผู้ช่วยพระอาจารย์ใหญ่ ทางด้านพระปริยัติธรรม พระ มหาสอนเป็น พระอาจารย์ใหญ่ เรียนพระบาลีไปเรียนที่วัดประยูรวงศาวาสบ้าง วัดอรุณ ราชวรารามบ้าง ในสมัยที่ท่านครองวัด พระกรรมฐานเจริญรุ่งเรื่องมาก ถึงขนาดมีพระสงฆ์มา ศึกษาพระกรรมฐานมากถึง ๒๐๐ รูปเศษ ท่านเป็นผู้เก็บรักษา เครื่องบริขารต่างๆของ บูรพาจารย์พระกรรมฐาน ต่อจากพระอาจารย์ของท่าน มีบริขารของสมเด็จพระสังฆราช (สุกไก่เถื่อน) เป็นต้น ปัจจุบันบริขารต่างๆได้เก็บรักษาไว้ใน พิพิธภัณฑ์พระกรรมฐาน คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม ปีพระพุทธศักราช. ๒๔๗๐ ท่านมรณภาพลงด้วยโรคชรา เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๔๗๐ รวมสิริรวมอายุได้ ๗๕ ปี พรรษา ๕๔ เมื่อท่านมรณะภาพไม่นาน มี ผู้คนคณะสงฆ์ที่เคารพนับถือท่านได้มาที่วัดราชสิทธารามกันแน่นวัดมีเรือจอดที่คลอง หน้าวัดแน่นขนัด เก็บสรีระของท่าน ไว้บำเพ็ญกุศลประมาณ ๑๐๐ วัน ระหว่างบำเพ็ญ กุศลมีการจุดพลุตลอดทั้ง ๑๐๐ วัน เมื่อจะพระราชทานเพลิงศพทางวัด ได้จัดทำเมรุ ทำเป็นรูปทรงเขาพระสุเมรุราช ข้างพระเจดีย์ใหญ่หน้าวัดด้านใต้ พระราชทานเพลิงศพเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๒๕ มีนาคม ๒๔๗๐(นับเดือนไทย ตั้งแต่ เดือนเมษายน เป็นปี ๒๔๗๑) สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์เสด็จมาเป็นองค์ประธาน พระราชทาน เพลิงศพ ท่านเสด็จมาโดยมิได้มีหมายกำหนดการมาก่อน เมื่อมาถึงทางวัดได้จัดการให้ พระองค์ท่านประทับนั่งอย่างสมพระเกียรติ (นั่งโต๊ะ) แต่พระองค์ท่านได้ตรัสว่า ฉันมาเผาอาจารย์ฉัน แล้วพระองค์ท่านก็ให้พระสงฆ์ที่ติดตามท่านมาปูลาดอาสนะธรรมดา ประทับนั่งลงกับพื้นในที่ชุมนุมสงฆ์แถวหน้าอย่างโดยไม่ถือพระองค์ กล่าวว่าท่านเป็น สมเด็จพระสังฆราชเจ้าองค์เดียว ที่เสด็จมาศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับจนจบ กล่าวขานกันในสมัยนั้นว่าท่านเป็นพระมหาเถรองค์หนึ่งที่ บรรลุคุณวิเศษใน พระพุทธศาสนา พระองค์ท่านจะมาศึกษาแบบส่วนพระองค์ในเวลาค่ำ หลังเสร็จราชกิจ ทรงศึกษา กับพระสังวรานุวงศ์เถร(ชุ่ม) ณ วัดราชสิทธารามที่กุฏิหลังเขียว (ปัจจุบันรื้อไปแล้วไปปลูกไว้ที่คณะ ๓) ใกล้เช้า พระองค์ท่านก็เสด็จกลับโดยเรือจ้าง (ไป กลับเรือจ้าง) พระองค์ท่านไม่ทรงใช้ของเรือหลวง เมื่อเสร็จงานพระราชทานเพลิงแล้ว คณะสงฆ์ คณะศิษยานุศิษย์ได้ทำการหล่อรูปเหมือนท่าน ประดิษฐานไว้ที่มุมเจดีย์หน้าพระอุโบสถด้านทิศใต้ เป็นที่สักการบูชา มาจนทุกวันนี้ นับแต่สิ้น พระสังวรานุวงศ์เถร(ชุ่ม)แล้ว ก็เกิดมีสำนักพระกรรมฐานต่างๆ เกิดขึ้นมากมายในกรุงรัตนโกสินทร์ สภาพความเป็นวัดอรัญวาสีหลัก ที่วัดราชสิทธารามนี้ ก็เกือบจะหมดไปด้วย แต่พระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ของสมเด็จ พระสังฆราช ไก่เถื่อน ก็ยังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ | ||||
| ||||
| ||||
ประวัติพระสังวรานุวงศ์เถร | |||
พระสังวรานุวงศ์เถร มีนามเดิมว่า เอี่ยม ท่านเป็นบุตรคหบดี บิดามีนามว่า เจ้าสัวเส็ง มารดามีนามว่า จัน เกิดเมื่อ วันเสาร์ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๗ ปีเถาะ จัตวาศก จุลศักราช ๑๑๙๓ ตรงกับวันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๓๗๔ ในรัชกาลที่ ๓ ที่บ้านท่าหลวง ริมคลองบางหลวง อำเภอบางกอกใหญ่ จังหวัดธนบุรี เมื่ออายุได้ ๑๓ ปี มารดาบิดา ได้นำท่านมาฝากตัวเป็นศิษย์ พระญาณโกศลเถร (รุ่ง) ต่อมาท่านอายุ ๑๕ ได้บรรพชาเป็นสามเณร ในสำนักพระญาณโกศลเถร (รุ่ง) เรียนอักขรสมัยในสำนัก พระมหาทัด (พระอมรเมธาจารย์) วัดราชสิทธิ์ฯ เมื่ออายุได้ ๒๑ ปี ตรงกับปีพระพุทธศักราช ๒๓๙๕ ในรัชกาลที่ ๔ ได้อุปสมบท ณ. พัทธสีมา วัดราชสิทธาราม พระญาณโกศลเถร (รุ่ง) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระญาณสังวร (บุญ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอมรเมธาจารย์ (ทัด) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อุปสมบทแล้วภายในพรรษานั้น พระญาณโกศลเถร (รุ่ง) พระอุปัชฌาย์ของท่าน ก็ถึงมรณะภาพลง ต่อมาได้ศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับพระญาณสังวร (บุญ) แล้วมาศึกษาต่อ กับพระโยคาภิรัติเถร (มี) แล้วมาศึกษาเพิ่มเติม กับพระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) จนเชี่ยวชาญ จบทั้งสมถะวิปัสสนากรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ ต่อมาท่านได้ ศึกษาพระปริยัติธรรมบาลีมูลกัจจายน์ กับพระอมรเมธาจารย์ (เกษ)ครั้งเป็นพระปลัดเกษ และเหตุที่ไม่ได้เรียนบาลีมูลกัจจายน์ กับพระอมรเมธาจารย์ (ทัด) พระอนุสาวนาจารย์ เพราะท่านชราทุพพลภาพมากแล้ว เมื่อออกพรรษาของทุกปี ท่านได้ออกสัญจรจาริกไปตามสถานที่ต่างๆ ไปกับพระอาจารย์บ้าง ไปเองบ้าง ไปทุกแห่งหน ปีพระพุทธศักราช ๒๔๐๒ พรรษาที่เจ็ด ได้เป็นพระปลัด ถานานุกรมชั้นที่ ๑ ของพระสังวรานุวงศ์เถร(เมฆ) และทำหน้าที่เป็นพระอาจารย์ผู้ช่วย บอกพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ แก่พระภิกษุสามเณรด้วย ในพรรษานั้นเองท่านได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะหมวด (ตำบล) ด้วย คนทั้งหลายมักเรียกท่านว่าพระปลัดเอี่ยมใหญ่ พระปลัดเอี่ยมเล็กคือ ท่านเจ้าคุณพระมงคลเทพมุนี แต่ยังมีพระครูสังวรสมาธิวัตรนามว่า เอี่ยม อีกองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นรุ่นพี่ของพระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ที่เรียกกันว่าปลัดเอี่ยมใหญ่ ปีพระพุทธศักราช ๒๔๐๕ พรรษาที่สิบ ในรัชสมัยรัชกาลที่ ๔ เป็น พระครูสังวรสมาธิวัตร ฝ่ายวิปัสสนาธุระ นิตยภัต ๑ ตำลึง ๒ บาท ต่อมาได้เป็น พระคณาจารย์เอกฝ่ายวิปัสสนาธุระ ปีนั้นเองได้มี เจ้านายในรัชกาลที่ห้า ถวายพัดลอง ทำด้วยใบลาน ให้ท่านหนึ่งด้าม สำหรับผู้เป็นประธานสงฆ์ ใช้บอกศีล และอนุโมทนากถา ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์พระกรรมฐาน คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม ปีพระพุทธศักราช ๒๔๒๙ ได้รับพระราชทานสมณะศักดิ์ เป็นพระราชาคณะฝ่ายวิปัสสนาธุระที่ พระสังวรานุวงศ์เถร เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสี มีนิตยภัต ๓ ตำลึง และควรตั้งถานานุศักดิ์ได้ ๓ รูปคือ พระปลัด ๑ พระสมุห์ ๑ พระใบฏีกา ๑ ได้รับพระราชทานพัดงาสาน ทรงพระราชทานบาตรฝาประดับมุก จ.ป.ร. ท่านเป็นพระอาจารย์ใหญ่ ฝ่ายวิปัสสนาธุระวัดราชสิทธารามองค์ต่อมา และรักษาการเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม ปีพระพุทธศักราช ๒๔๓๐ เป็นเจ้าอาวาสวัดราชสิทธาราม เจ้าคณะใหญ่อรัญวาสีเจ้าคณะธนบุรี ทางราชการได้ถวายนิตยภัตเพิ่มอีก ๒ บาท เป็น ๓ ตำลึง ๒ บาท (๑๔ บาท) การศึกษาสมัยท่าน การศึกษาพระวิปัสสนาธุระเจริญมาก พระสังวรานุวงศ์เถร(เอี่ยม) เป็นพระอาจารย์ใหญ่ พระปลัดชุ่ม เป็นพระอาจารย์ผู้ช่วย ด้านพระกรรมฐานมีพระเถรานุเถระ มาศึกษาพระกรรมฐานมากมายเช่น พระภิกษุบุญ (พระพุทธวิถีนายก) วัดกลางบางแก้ว, พระภิกษุเอี่ยม (พระภาวนาโกศลเถร) วัดหนัง บางประวัติว่าศึกษากับพระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ), พระสมุห์ชุ่ม สุวรรณศร วัดอมรินทร์, พระภิกษุมั่น หรือพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ซึ่งต่อมาพระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ให้พระอาจารย์มั่นไปศึกษาต่อกับ พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโร ซึ่งเป็นศิษย์วัดพลับมาแต่เดิม, พระวินัยธรรม เจ๊ก วัดศาลารี ตลาดขวัญ (นนทบุรี), พระอาจารย์โหน่ง สุพรรณบุรี, พระอาจารย์น้อยสุพรรณบุรี ต่อมาพระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ให้ทั้งสองท่านไปเรียนต่อกับพระอาจารย์เนียม ซึ่งเป็นศิษย์วัดพลับมาแต่เดิม, พระภิกษุปาน (วัดบางเหี้ย)ฯลฯ การเรียนพระปริยัติธรรมเรียนภายในวัด พระมหาสอน เป็นพระอาจารย์ใหญ่ปีพระพุทธศักราช ๒๔๓๑ จัดงานพระราชทานเพลิงศพ อดีตเจ้าอาวาสวัดราชสิทธารามพร้อมกัน ๓ องค์ พระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ท่านมีอุปนิสัยรักสันโดด มีของสิ่งใดมักจะให้ทานแก่ผู้อื่นหมด เมื่อท่านไปกิจนิมนต์ ได้ไทยทานมาท่านจะนำมาแจกทานแก่พระภิกษุสามเณร ภายในวัดจนหมด แม้ของในกุฏิท่านก็ให้ทานจนหมด ท่านมีมรดก ซึ่งมารดาบิดายกให้ ท่านก็ไม่เอา ยกให้พี่น้องหมด ชาวบ้านมักเรียกขานนามท่านว่า หลวงพ่อใจดี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ตรัสเรียกนามท่านว่าหลวงพ่อผิวเหลือง เพราะผิวท่านเหลืองดังทอง สมัยท่านมีชีวิตอยู่ ท่านมีพรหมวิหารแก่กล้ามาก กล่าวว่า อีกาตาแวว อีกาขาว มักมาเกาะอยู่ที่กุฎิของท่านเสมอ เวลาท่านไปไหนมาไหนในวัดพลับ พวกอีกาตาแวว อีกาขาว มักบินตามท่านไปด้วยเสมอ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระเมตตา ท่านเจ้าคุณพระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) มาก ถึงคราวพระราชทานผ้าพระกฐินทาน ณ.วัดราชสิทธาราม ต้องเสด็จมาทรงเยี่ยมท่านก่อนเสมอทุกครั้ง ประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๔๔๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชทานเตียง หรือตั่งอยู่ไฟ ของเจ้าจอมในรัชกาลที่ ๔ ถวายพระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) วัดราชสิทธาราม พร้อมกับทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำการซ่อมแซมเสนาสนะสงฆ์ในบริเวณคณะ ๑ กุฎิเจ้าอาวาส ที่สร้างมาแต่ครั้งรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔ พร้อมกันนั้นทรงโปรดเกล้าฯ ให้ช่างทาพื้นกุฎิด้วยชาดแดง พร้อมทาชาด เตียง หรือตั่งอยู่ไฟ ของเจ้าจอมในรัชกาลที่ ๔ ประดิษฐานไว้ที่กุฎิคณะ ๑ อันเป็นกุฎิพำนักของเจ้าอาวาสปัจจุบันนี้เตียง หรือตั่งอยู่ไฟ ของเจ้าจอมในรัชกาลที่ ๔ อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม ปีพระพุทธศักราช ๒๔๕๐ นั้นพระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ท่านชราทุพพลภาพลงมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พระราชทานแคร่คานหาม ที่เก็บรักษาไว้ที่วัดราชสิทธาราม เดิมรัชกาลที่ ๓ พระราชทานให้พระเทพโมลี (กลิ่น)พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชทานแคร่คานหาม พร้อมกับมีพระดำรัสตรัสสั่งให้ประกาศว่า ถ้าใครนิมนต์ หลวงพ่อผิวเหลือง (ซึ่งหมายถึงพระสังวรานุวงศ์เถรเอี่ยม บางที่ก็เรียกท่านว่า หลวงพ่อใจดี ) ไปกิจนิมนต์ ต้องถวาย ๑ ตำลึง บางแห่งว่าถ้านิมนต์ท่านไปเกิดอาพาธขึ้นมาต้องจ่าย ๑ ตำลึง ทั้งนี้เพราะมีพระราชประสงค์ ไม่ให้ใครมารบกวนท่าน เพราะท่านชราทุพพลภาพมาก แต่นั้นมาเมื่อท่านไปกิจนิมนต์ ได้ปัจจัยไทยทานกลับมา ท่านก็จะเอาไว้ที่หอฉัน แล้วประกาศว่า พระภิกษุสามเณร ขาคปัจจัยไทยทานสิ่งใดให้มาหยิบเอาที่หอฉัน สมัยต่อมาท่านมีของสิ่งไรท่านก็บริจาคจนหมด ไม่เหลือ เหลือแต่อัฏฐะบริขารเท่านั้น ปัจจุบัน แคร่คานหามพระราชทานยังมีอยู่จนทุกวันนี้ ที่พิพิธภัณฑ์กรรมฐาน คณะ ๕ วัดราชสิทธาราม (พลับ) สมัยที่ท่านครองวัดนั้น มีพระภิกษุสามเณร ปะขาว ชี มาศึกษาพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ กับท่านกันมากมาย เพราะเป็นศูนย์กลางกรรมฐาน ของกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านมีศิษย์ทั้งในเมือง และหัวเมือง ยุคของท่านนั้นมีชื่อเสียงมากทางปฎิบัติภาวนา เป็นที่เกรงใจของคณะสงฆ์ และในสมัยนั้นยังไม่มีสำนักพระกรรมฐานที่ไหนเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ มีสำนักวัดราชสิทธารามเป็นสำนักใหญ่แห่งเดียว เพราะเป็นวัดอรัญวาสีมาแต่เดิม เมื่อท่านมีชีวิตอยู่ จะมีผู้คนเอาเงิน มาใส่พานให้ท่านทุกวัน ท่านก็จะเอาเงินนั้นแจกทานจนหมดทุกวัน โดยให้มาหยิบเอาเอง มีเรื่องเล่าว่า เมื่อคราวที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินมา ทอดผ้าพระกฐินทาน ต้องมากราบนมัสการ พระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ทุกครั้ง คราวนั้นพระมงคลเทพมุนี (เอี่ยม) วัดพลับ จะเอาของมาตั้งรับเสด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมงคลเทพมุนี (เอี่ยม) ได้บอกกับ พระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม)ว่า ของนี้ให้ยืมไว้รับเสด็จ ห้ามให้ใคร ที่บอกอย่างนี้เพราะมีของอะไรใกล้มือ ท่านจะให้ทานหมดเมื่อมีคนขอ ปีพระพุทธศักราช ๒๔๕๖ ท่านมีสติสัมปชัญญะรู้ตัว ก่อนมรณะภาพประมาณเจ็ดวัน เมื่อสิริรวมอายุได้ ๘๒ ปี พรรษา ๖๑ ท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ๒๖ ปี ท่านเป็นพระสังฆเถรที่มีชื่อเสียงผู้คนเคารพนับถือมากในสมัยนั้น กล่าวว่าเมื่อท่านมรณะภาพไม่นาน คณะศิษยานุศิษย์ ทั้งฝ่ายสงฆ์ และฝ่ายฆราวาส ทราบข่าวพากันมาเคารพศพท่านกันแน่นลานวัด สรีระของท่าน คณะศิษยานุศิษย์เก็บไว้บำเพ็ญกุศล ประมาณ ๕ ปี (พ.ศ.๒๔๖๑) จึงพระราชทานเพลิงศพ และอีกประการหนึ่งเวลานั้น ท่านเจ้าคุณพระมงคลเทพมุนี (เอี่ยม) ซึ่งเวลานั้นลาออกจากเจ้าอาวาสและยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็อาพาธกระเสาะกระแสะเรื่อยมา ทางคณะกรรมการวัด และคณะศิษยานุศิษย์ เกรงว่าจะมีงานศพซ้อนกัน เหมือนกาลก่อน จึงได้พระราชทานเพลิงสรีระสังขาร พระสังวรานุวงศ์เถร(เอี่ยม) ก่อน ส่วนหีบชั้นในที่ใส่สรีระของพระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) นั้น ท่านเจ้าคุณพระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) ได้นำมาต่อเป็นเตียงไว้จำวัด สำหรับปลงพระกรรมฐาน เป็นการกำหนดสติระลึกถึงความตายเนืองๆ ต่อมาพระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) และคณะศิษยานุศิษย์ ได้หล่อรูปพระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) ประดิษฐานไว้ที่มุมเจดีย์ด้านหน้าพระอุโบสถ ข้างทิศเหนือ เป็นที่สักการบูชามาจนทุกวันนี้ เมื่อคราวงานพระราชทานเพลิงศพ พระสังวรานุวงศ์เถร (เอี่ยม) นั้น ประมาณปีพระพุทธศักราช ๒๔๖๑ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จมาพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระมหาสมณะเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชเจ้า วัดบวรนิเวศวิหาร เสด็จมาเป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์ |
ประวัติพระมงคลเทพมุนี | ||||
ประวัติพระมงคลเทพมุนี | ||||
| ||||
| ||||
ประวัติพระสังวรานุวงศ์เถร(สอน) | ||||
ประวัติพระสังวรานุวงศ์เถร | ||||
| ||||
| ||||
ประวัติพระราชวิสุทธิญาณ
|
||||
ประวัติพระราชวิสุทธิญาณ |
||||
|
||||
|
||||
ประวัติพระราชสังวรวิสุทธิ์ | ||||
ประวัติพระราชสังวรวิสุทธิ์ (พระธรรมสิริชัย) พ.ศ. ๒๓๕๑ พระรรมสิริชัย มรณภาพ ด้วยโรคชรา สิริรวมอายุ ๙๐ พรรษา๖๘ | ||||
| ||||
| ||||
ประวัติพระธรรมรัตนวิสุทธิ์ | ||||
ประวัติพระธรรมรัตนวิสุทธิ์ พ.ศ. ๒๕๕๔ จัดพิธีสมโภชพระอาราม เนื่องในโอกาสวรสิทธิมงคล พระอนุจรครบ ๕๐ ปี พระธรรมรัตนวิสุทธิ์ เมื่อ๑๙-๒๐ มิถุนายน
| ||||
| ||||
| ||||